“เชื่อซ้ายตีกะหรี่เถอะ ทอมกับดี้น่ะ ตราบใดที่มีมดลูก “ธรรมชาติ” เขาจัดสรรมาแล้ว
เจอ “หำ” ที่ใช่นี่หายทุกคน 555”
ข้อความข้างบนนี้มาจากการแสดงความเห็นโดยคุณสนานจิตต์ บางสพาน บนโพสต์เฟซบุคของคุณอธึกกิต แสวงสุข หรือที่คนในแวดวงสื่อรู้จักกันในชื่อ ใบตองแห้ง คอลัมนิสต์และนักข่าวบนสื่อออนไลน์และสื่อสิ่งพิมพ์ ตัวต้นโพสต์มาจากการพูดถึงข่าวดาราต่างประเทศหญิงรักหญิง Ashley Benson และ Cara Dlevingne เลิกกัน โดยมีข่าวว่า Benson อาจจะไปคบกับผู้ชาย ทำให้เกิดการแสดงความเห็นข้างบนตามมา โดยคนแสดงความเห็น ไม่ใช่คนนอกวงการสื่อ แต่คือ คุณสนานจิตติ์ บางสพาน นักวิจารณ์ภาพยนตร์และนักเขียน รวมไปถึงผู้กำกับภาพยนตร์ขังแปดและซุ้มมือปืน
ทำให้ต่อมา เกิดการเข้าไปโต้แย้งแสดงความเห็นจากกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยจำนวนมาก และต่อมาคุณสนานจิตต์ได้บล็อกทุกคนที่เข้าไปแสดงความเห็นต่อท้ายความเห็นของเขา
ต่อมา คุณอธึกกิต ได้เข้าไปโพสต์แสดงความเห็นในสเตตัสของคุณการะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ คอลัมนิสต์ประจำมติชนรายสัปดาห์ นักเขียนและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิทางเพศ ในทำนองว่าสิ่งที่คุณสนานจิตต์แสดงความเห็นนั้น เป็นเรื่องของความเชื่อที่คุณสนานจิตต์เชื่อว่า
“คนเป็นหญิงรักหญิง ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นจริง แค่ยังไม่เจอผู้ชายที่ใช่ เจอเมื่อไหร่ก็เลิก แต่งงานมีลูกไปตั้งเยอะ เพียงแต่ เป็นการใช้ภาษาเหมือนที่ผู้ชายพูดกันในวงเหล้าเท่านั้น”
นอกจากนี้ คุณอธึกกิตยังเห็นว่า
"ทัศนะแบบนี้ ก็มีอยู่ในผู้ชายจำนวนมาก ผิดถูกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้อสำคัญคือเขาปิดกั้นหรือรังเกียจเดียดฉันท์ LGBT หรือเปล่า และเท่าที่ทราบ คุณสนานจิตต์ก็ทำงานกับ LGBT มาเยอะ ไม่ได้มีปํญหาอะไร"
"ในโลกนี้ สังคมนี้ คนที่ไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เข้าใจความเป็น LGBT มีอีกเยอะ แต่ขอเพียงขีดเส้นแบ่ง เคารพเสรีภาพส่วนบุคคล ไม่จำเป็นต้องมีทัศนะเข้าใจหรือสนับสนุนไปทั้งหมด"
และเมื่อมีคนท้วงว่า การแสดงความเห็นและความเชื่อแบบนี้ เป็นการสนับสนุนการข่มขืนทอมซ่อมดี้ เหมือนที่เกิดขึ้นตลอดในสังคมไทย คุณอธึกกิตได้ตอบกลับว่า
"ตีความไปถึงบังคับขืนใจเลยหรือครับ ก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นการพูดกันในเคสที่ดารา LB เลิกกันและมีท่าทีจะเปลี่ยนใจไปชอบผู้ชาย ในความเป็นจริง ผู้หญิงที่เคยเป็น LB เปลี่ยนไปแต่งงานมีลูกก็เยอะ แต่แน่ละ การใช้ภาษาว่าผู้หญิงที่เป็น LB โดนแล้วเปลี่ยน นี่มันเข้าข่ายเหยียดเพศ ก็บอกแล้วว่าแกใช้ภาษาแย่แบบสนทนาวงเหล้า ซึ่งผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ไปข่่มขืนทอมดี้ให้เปลี่ยนใจ"
และนอกจากนี้ยังบอกทัศนะส่วนตัวด้วยว่า
“ผมคิดว่าการไม่เห็นด้วยกับการเป็น LGBT เป็นเรื่องปกติที่เกิดกับมนุษย์ straight พูดให้ถึงที่สุดก็เช่น สมมติลูกสาวผมกลายเป็นทอม ลูกชายผมกลายเป็นเกย์ ผมก็คงไม่รู้สึกปกติมั้ง ผมก็คงเสียใจ แต่ผมก็ต้องพยายามทำใจ แล้วก็เคารพสิทธิเสรีภาพของเขา ยอมรับชีวิตของเขา ให้เขามีชีวิตอย่างที่เขาอยากเป็น มีความสุขที่สุด แต่ลึกๆ แล้วผมก็ทำใจไม่ได้อยุ่ดี”
“มันปฏิเสธไม่ได้หรอกที่มนุษย์ straight จำนวนมากจะมองว่า LGBT ผิดแผก แต่ก็ต้องเคารพเสรีภาพของเขา แล้วก็ไม่ใช่รังเกียจ เพราะผมทำงานกับคนที่เป็น LGBT มามาก ก็ยอมรับในความสามารถ นิสัย การทำงานร่วมกันได้ดี ไม่ได้รุ้สึกแตกต่างจากเพศหญิงเพศชาย ยอมรับว่ามันเป็นปกติของโลกไปแล้ว แต่จะให้รู้สึกไม่ผิดแผกเหมือนโลกมี 3-4-5 เพศไปแล้ว ก็ยังประหลาดๆ ประเด็นของผมคือ คุณจะให้คนอื่นคิดเหมือนคุณ คงเป็นไปไม่ได้หรอก แค่เคารพเสรีภาพ มีชีวิตร่วมกันในสังคม ทำงานด้วยกันอย่างเคารพความเป็นมนุษย์ก็พอ”
ต่อมา คุณสนานจิตต์ ได้ตั้งสเตตัส ขอโทษชาว LGBT โดยระบุว่า
ที่แสดงความเห็นไปเป็นเพียง ตลกร้าย และการอำ ระหว่างเพื่อนกันเท่านั้น ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ก็แค่มิตรสหาย “อำ” กันเท่านั้นเอง ถ้าชาว LGBT ไม่ตลกด้วยก็ขอโทษ
ความเชื่อฝังหัวเรื่องบรรทัดฐานรักต่างเพศและวิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่
หากเราจะพิจารณาถึงรากของความคิดเรื่อง ผู้หญิงที่รักผู้หญิงด้วยกัน อาจหายได้ด้วยการเจอ “หำ” ที่ใช่ ต้องย้อนกลับไปดูว่า อะไรที่เป็นที่มาของความคิดแบบนี้ คำตอบคือ ในสังคมมนุษย์ แนวคิดแบบรักต่างเพศ ได้กลายเป็นบรรทัดฐานที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ว่าจะในทางศาสนาหรือกฎหมาย ศาสนาหลายศาสนา ระบุว่า การรักเพศเดียวกันเป็นบาป ผิดธรรมชาติ รักที่ถูกต้องดีงาม สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงและผู้ชายเท่านั้น ซึ่งหมายถึง มนุษย์ที่เกิดมาในสังคมตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนมากถูกปลูกฝังว่า ต้องมีความรักกับต่างเพศเท่านั้น หากใครไม่เป็นไปตามความเชื่อนี้ จะถูกบอกว่าผิดธรรมชาติ สร้างบาป และเกิดการลงโทษจากชุมชนในหลากหลายรูปแบบ เช่น การปาหินจนตาย การขับไล่ออกจากชุมชน การทำร้ายหรือฆ่าให้ตาย
เช่นเดียวกับกฎหมาย ที่ระบุให้การรักต่างเพศ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีกฎหมายการสมรสรองรับ และระบุให้การรักเพศเดียวกันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย มีกฎหมายลงโทษ จับกุม คุมขัง และประหารชีวิตคนรักเพศเดียวกัน ไม่ว่าจะในประเทศที่ก้าวหน้าอย่าง ประเทศอังกฤษ ก็เคยมีกฎหมายลงโทษคนรักเพศเดียวกัน หรือในประเทศที่อยู่ใต้เผด็จการทหารในฝั่งแอฟริกา เช่น อูกันดา ก็มีกฎหมายลงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต
ความเชื่อเรื่องรักต่างเพศคือบรรทัดฐานของสังคม ถูกฝังลงไปในทุกๆที่ เช่น ในระดับครอบครัว คือพ่อแม่สอนลูกตั้งแต่เล็กๆว่าลูกเป็นเพศอะไร และควรรักกับเพศอะไร ในระดับโรงเรียน ก็มีตำราเรียนที่บอกว่า การรักเพศเดียวกันคือความเบี่ยงเบนทางเพศและผิดธรรมชาติ ไปจนถึงระดับสถาบันทางศาสนาและกฎหมายต่างๆ
ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่อยู่ในบรรทัดฐานรักต่างเพศ ก็จะถูกตีตราว่าเป็นพวกวิปริตผิดเพศ พวกคนบาป พวกผิดธรรมชาติ และผลจากการตีตรานั้นเอง ก็ก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติ การทำร้ายและฆ่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศในทุกรูปแบบ
ทั้งหมดนี้ คือการอยู่ภายใต้วิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ คือผู้ชายกำหนดบทบาททางเพศให้กับคนทุกเพศ ผู้ชายที่ไม่เป็นชาย ถูกลงโทษ ถูกบำบัด ให้หายเป็นเกย์ เป็นกะเทย ส่วนผู้หญิงที่ไม่เป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นทอม หรือดี้ ก็จะถูกลงโทษด้วยการข่มขืน หรือฆ่าเพื่อรักษาเกียรติยศ ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งบรรทัดฐานรักต่างเพศที่เป็นฐานรากในการสนับสนุนระบบชายเป็นใหญ่
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคแห่งการเรียนรู้และเข้าใจเรื่องความหลากหลายของมนุษย์
แม้ว่ามนุษย์เคยขาดความเข้าใจและสร้างกฎเกณฑ์ รวมไปถึงการลงโทษในรูปแบบต่างๆต่อกลุ่มคนที่ไม่อยู่ในบรรทัดฐานรักต่างเพศ แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคโมเดิร์นมากขึ้น สังคมมนุษย์พัฒนาไปจนถึงจุดที่รู้จักคำว่า สิทธิมนุษยชน คนเท่ากัน มีการเรียกร้อง ต่อสู้ เรื่องสิทธิของคนกลุ่มน้อย ไม่ว่าจะเป็น คนผิวสี จะดำ เหลือง น้ำตาล ก็ตามแต่ นับตั้งแต่การยกเลิกระบบทาส สิทธิในการเลือกตั้งของผู้หญิง ไปจนถึงสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้พิการ ผู้ใช้ยา พนักงานบริการทางเพศ และแน่นอนว่า คนที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่ม LGBTQ ก็ต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิในการมีชีวิตตามเพศวิถีและเพศสภาพของตัวเอง โดยผ่านเหตุการณ์จราจลที่ Stonewall ถูกตำรวจปราบปรามมาไม่รู้กี่หน จนกระทั่งในปัจจุบัน หลายประเทศได้ผ่านกฎหมายคุ้มครองกลุ่ม LGBT ไปจนถึงกฎหมายแต่งงานที่เท่าเทียมในหลายๆประเทศแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีอีกหลายสังคม ที่ไม่เปลี่ยนความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่ระบอบชายเป็นใหญ่ยังฝังแน่น การลงโทษกลุ่ม LGBT จึงยังมีอยู่ ตั้งแต่ในระดับกฎหมาย ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันในสังคม อย่างการเลือกปฏิบัติและตีตราคนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกีดกันการเข้าถึงการจ้างงาน การกลั่นแกล้งล้อเลียนในสถานศึกษา ไปจนถึงการกีดกันไม่ให้LGBT เข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ
หนักกว่่านั้นคือการทำร้ายร่างกายด้วยสาเหตุของการเกลียดกลัว ที่เรียกว่า Homophobia, Transphobia , Bipobia เป็นต้น และสิ่งที่ควรถูกพูดถึงจากการแสดงความเห็นในโพสต้นเรื่อง คือเรื่องของ Corrective Rape หรือการข่มขืนเพื่อให้เปลี่ยนรสนิยมทางเพศ ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซากมานานแล้วในสังคมไทยและสังคมโลก
“เจอหำที่ใช่ เดี๋ยวก็หาย” “นิ้วเย็นๆหรือจะสู้เอ็นอุ่นๆ” “เปลี่ยนทอมให้เป็นเธอ”
ข้อความข้างต้น เป็นประโยคที่มักจะเห็นได้ตามพื้นที่ออนไลน์สาธารณะ ใต้โพสข่าวต่างๆ หรือแม้กระทั่งการพูดคุยกันในวงเหล้าของเหล่าผู้ชาย ถามว่า คำพูดเหล่านี้มีปัญหาตรงไหน
ประการแรก คำพูดเหล่านี้ เป็นการสนับสนุนวัฒนธรรมข่มขืน เพื่อเปลี่ยนรสนิยมทางเพศของกลุ่มหญิงรักหญิง ไม่ว่าคนพูดนั้นจะรู้ตัวหรือไม่ จะอ้างว่าตัวเองไม่ได้สนับสนุนไม่ได้ เพราะคำพูดทำนองนี้ ถูกทำให้เป็นปกติในสังคมของผู้ชาย และก่อให้เกิดความเชื่อผิดๆที่เชื่อกันต่อๆไปว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรสนิยมทางเพศแบบหญิงรักหญิง จะสามารถเปลี่ยนวิถีทางเพศของเธอได้ ก็ด้วยการสอดใส่โดยอวัยวะเพศชาย ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ ได้กลายเป็นมายาคติในกลุ่มผู้ชาย จนมีกรณีพ่อข่มขืนลูก เพื่อนชายข่มขืนเพื่อนทอม มาแล้วหลายกรณี
ประการที่สอง คำพูดเหล่านี้ สะท้อนถึงอาการเหยียดเพศ คือการเชื่อว่า ในโลกนี้ เพศชาย เป็นเพศที่มีเจ้าโลกเป็นใหญ่ เพียงแค่ผู้หญิงคนใดได้เจอ หำที่ใช่ ก็สามารถจะเปลี่ยนใจให้กลายเป็นผู้หญิงแท้ได้ คำพูดแบบนี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ชายอยู่เหนือกว่าผู้หญิง เจ้าโลกของผู้ชายนั้นมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงผู้หญิงได้ และวิถีทางเพศแบบหญิงรักหญิง เป็นเรื่องที่ไม่จริง เปลี่ยนแปลงได้เพียงเพราะ หำ ของผู้ชาย
ประการที่สาม คำพูดเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อหญิงรักหญิง ทำให้ครอบครัวของหญิงรักหญิงจำนวนมาก บังคับหญิงรักหญิงให้แต่งงาน เพราะเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายจะทำให้กลับมาเป็นหญิงแท้ และนอกจากนี้ ยังทำให้สังคมเข้าใจไปว่า ความรักความสัมพันธ์ของหญิงรักหญิงไม่มีอยู่จริง เป็นไปไม่ได้ เป็นแค่แฟชั่น เป็นแค่วิถีทางเพศที่เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐาน และแก้ไขได้ด้วยการโดนหำที่ใช่
ดังนั้น คำพูดทำนองนี้ จึงเป็นอันตรายต่อกลุ่มหญิงรักหญิงมาก และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เราจึงไม่ควรสนับสนุนคำพูดเหล่านี้ ไม่ว่ามันจะถูกพูดในที่สาธารณะ บนพื้นที่ออนไลน์ หรือแม้กระทั่งในวงเหล้าก็ตาม
สังคมผู้ชายต้องหัดที่จะ Unlearn หรือ เลิกเรียนรู้ เรื่องเพศแบบผิดๆ
จากข้อโต้แย้งของคุณอธึกกิตและคุณสนานจิตต์ ที่บอกว่า คำพูดเหล่านี้เป็นแค่เรื่อง “ตลกร้าย” เป็นแค่การ “อำ” กันขำๆระหว่างเพื่อน เป็นการพูดใน “วงเหล้า” ที่ผู้ชายทั่วไปทำกันเป็นเรื่องปกติ
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่มีวิถีทางเพศที่ไม่ใช่รักต่างเพศและทำงานเคลื่อนไหวสิทธิทางเพศมาตลอด ก็อยากขอเรียกร้องให้ผู้ชายที่เชื่อเรื่องเพศแบบผิดๆ เริ่มที่จะหยุดเรียนรู้เรื่องเพศที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของคนเพศอื่นๆได้แล้ว เพราะคำพูดเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องตลกร้ายใดๆทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อชีวิตและความปลอดภัยของหญิงรักหญิงจำนวนมาก มันไม่ใช่เรื่องขำขันที่เอาไว้ให้พวกคุณผู้ชายไว้เล่าตลกกันในวงเหล้า แต่มันเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตกเป็นเหยื่อข่มขืนของคนที่มีวิธีคิดทำนองนี้ การอำกัน ด้วยเพศวิถีและเพศสภาพของคนอื่น ไม่น่าใช่วิถีที่เคารพความหลากหลายของมนุษย์อย่างที่คุณอธึกกิตกล่าวอ้าง และการยืนกรานว่า คุณอธึกกิตไม่สามารถยอมรับว่าลูกหลานตัวเองจะเป็น LGBT ได้ เพราะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ปกติ ก็เพราะรากฐานความคิดที่ฝังหัวว่า รักต่างเพศเท่านั้นที่ปกติและเป็นธรรมชาติ อย่างที่คุณสนานจิตต์ได้แสดงความเห็นออกมาในตอนต้นว่า
“ตราบใดที่มีมดลูก “ธรรมชาติ” เค้าจัดสรรมาแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตกยุคตกสมัยและขัดกับสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง เพราะการมีมดลูกของผู้หญิง ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีใดๆว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องมีเพศสภาพเป็นหญิง และไม่ได้จำเป็นต้องมีวิถีทางเพศแบบรักต่างเพศเท่านั้น มดลูก เป็นแค่สรีระร่างกายทางชีววิทยา มันไม่ได้สร้างความเป็นหญิงหรือสร้างบรรทัดฐานรักต่างเพศเพียงเพราะผู้หญิงมีมดลูก แต่ความเป็นหญิงและเพศวิถีแบบรักต่างเพศนั้นเป็นสิ่งที่สังคมประกอบสร้างขึ้นมาจากหลายๆด้านต่างหาก
การเคารพเสรีภาพและความหลากหลายของมนุษย์ ไม่ใช่แค่มี Tolerance หรือการอดทนอดกลั้น
คุณอธึกกิตบอกว่า มี Straight หรือ คนที่มีเพศวิถีหรือเพศสภาพตรงเพศกำเนิด ที่ยอมรับ LGBT ไม่ได้อีกตั้งมากมาย และเราควรเคารพเสรีภาพส่วนบุคคล ไปบังคับให้ใครคิดแบบเดียวกับเราหรือสนับสนุนความคิดเราทั้งหมดไม่ได้
ในข้อนี้ ก็ดูจะย้อนแย้งกับสิ่งที่คุณอธึกกิตอ้างถึงการเคารพเสรีภาพของมนุษย์ เพราะถ้าหากคุณสนานจิตต์เคารพเสรีภาพของมนุษย์จริง การกระทำที่จะไปก่อให้เกิดอันตรายต่อกลุ่มหญิงรักหญิง ด้วยการแสดงความเห็นทำนองนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก การอ้างเรื่องการทำงานร่วมกับ LGBT ในชีวิตจริง ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้หมายความว่า คุณสนานจิตต์เข้าใจหรือยอมรับเพศสภาพหรือวิถีทางเพศของกลุ่ม LGBT ได้ ซ้ำยังลดทอนวิถีทางเพศของหญิงรักหญิงด้วยการยกเอา หำ ของผู้ชายมาเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีทางเพศของหญิงรักหญิง และโพสต์ข้อความนั้นลงในพื้นที่สาธารณะออนไลน์ และยังไม่ตระหนักถึงคำพูดที่อันตรายของตัวเอง ด้วยการออกมาขอโทษไปอย่างเสียไม่ได้ และบอกว่ามันคือ ตลกร้าย และการอำกัน ในหมู่มิตรสหาย
การมีความอดทนอดกลั้นต่อความต่าง เป็นขั้นที่ต่ำที่สุดเท่าที่มนุษย์จะพึงมี แต่หากเรามีการเห็นอกเห็นใจ มีความตระหนักรู้ต่อการถูกกดขี่หรือกดทับทางสังคมของมนุษย์กลุ่มอื่นๆด้วย ก็จะเรียกได้ว่าเป็นการเคารพเสรีภาพของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ต่อหน้าสามารถทำงานร่วมกับ LGBT ได้ไม่มีปัญหา แต่ลับหลังไปแสดงความเห็นว่าพวกทอมดี้โดนหำที่ใช่เดี๋ยวก็หายกันทุกคน แบบนี้ต่างหากที่เป็นการไม่เคารพเสรีภาพและความหลากหลายทางเพศของคนกลุ่มอื่น
ยิ่งในฐานะคนทำสื่อ มีปากมีเสียง มีพื้นที่ในการพูดหรือแสดงความเห็นในสังคมมากกว่าตาสีตาสาชาวบ้านทั่วไป ยิ่งต้องเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ หรืออย่างน้อยที่สุดไม่ไปผลิตซ้ำความรุนแรง วาทกรรมที่จะนำไปสู่อันตรายต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องตลกร้าย หรือแค่การอำกันในหมู่มิตรสหาย แต่เราในฐานะผู้หญิงที่สุ่มเสียงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศเพราะมีวิถีทางเพศที่ไม่ตรงกับบรรทัดฐานของสังคม อาจต้องเจอกับปัญหาการข่มขืนจริงๆ และมันไม่ตลก นอกจากไม่ตลกแล้ว ความคิดแบบนี้อาจนำพาไปสู่ความรุนแรงต่อเราได้ทุกเมื่อ แม้ว่าคนพูดจะปฏิเสธว่าไม่ได้สนับสนุนให้ผู้ชายไปข่มขืนหญิงรักหญิง แต่ในความเป็นจริง วาทกรรมเล่านี้ถูกผลิตซ้ำในสังคมไทยมาโดยตลอด และหากผู้พูดไม่ตระหนักว่ามันมีปัญหายังไง ที่สุดแล้ว ผู้พูดก็คือส่วนหนึ่งของปัญหาและเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดปัญหาความรุนแรงนั้นเสียเอง
อ่านข่าวและสรุปเสวนาที่เกี่ยวข้องกับวาทกรรมแก้ทอมซ่อมดี้เพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ค่ะ
https://waymagazine.org/hate-crime/ คดีอุ้มทอม hate crime และวลี ‘กูไม่รู้จัก แต่กูเกลียดมึง’
https://prachatai.com/journal/2016/06/66592 หยุด 'แก้ทอมซ่อมดี้' กฤตยาชี้เพศเป็นสิทธิส่วนบุคคล คนอื่นไม่มีสิทธิไปซ่อม
https://themomentum.co/momentum-feature-why-man-annoy-tomboy/ รู้ไหม ทำไมผู้ชายถึงหมั่นไส้ทอม
https://ilaw.or.th/node/4398 "อุ้มฆ่าทอม" ภาพสะท้อนอคติทางเพศสู่ความรุนแรงที่แสนลึกลับซับซ้อน
https://spectrumth.com/2019/08/26/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3/ เค้าบอกว่าเธอเปลี่ยนเราให้เป็นเลสเบี้ยน : ข้อกล่าวหาต่อหญิงรักหญิง เมื่อผู้หญิงเลือกที่จะรักผู้หญิงด้วยกัน
https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_211880 ไม่ได้มีผู้หญิงที่ถูกข่มขืน! เมื่อถูก ‘แก้ทอม ซ่อมดี้’ เรื่องไม่ตลก เลิกเหอะ!
https://news.mthai.com/general-news/155027.html?fbclid=IwAR0Bh3DmlVk4ww0raavFcW1TJRnUFGv4tr6iH0C6Gq2WP4BeXI2MM0MFh-Q อึ้ง! พ่อข่มขืนลูกสาววัย 14 อ้าง ดัดสันดาน คบหากับพวกทอม
Commenti