(ภาพประกอบจาก https://www.youtube.com/watch?v=tmFe0M56PoQ)
การประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ทำให้ผู้คนในวงการบันเทิงติดแฮชแท็ก
และแชร์รูปเขียนข้อความ Black Lives Matter เพื่อชวนให้นึกถึงความเท่าเทียมที่ควรเกิดขึ้นโดยไม่เหยียดสีผิว เห็นอย่างนั้นแล้ว ดิฉันอดคิดไม่ได้ว่าได้กลับไปคิดถึงรายการโทรทัศน์ไทยๆที่ชอบโปรโมทผิวขาวว่าเป็นตัวแทนความงาม พอมีกระแสนี้เข้าหน่อยก็บอกว่าคนผิวสีสำคัญ แต่ก็ลืมขอโทษที่เคยสนับสนุนผิวขาว เคยชื่นชมว่าผิวขาวเป็นความงามแบบเดียว ผลิตภัณฑ์เสริมความงามหลายผลิตภัณฑ์ก็เบียดขับผิวสีเข้มหรือสีดำให้กลายเป็นของสกปรกหรือไม่มีคุณค่า
กรณีนี้ดิฉันอดนึกถึง จุ๊กกู้ สลิตา กลิ่นจันทร์ ผู้เข้าแข่งขันรายการเดอะเฟซ ไม่ได้ จุ๊กกู้ สาวผิวเข้มไม่กี่คนในรายการ ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของผลิตภัณฑ์เสริมความงามยี่ห้อหนึ่งซึ่งอยากให้ผู้เข้าแข่งขันช่วยขายสินค้า แต่ก็พูดคุณสมบัติของสินค้าตนเองว่า “ทำให้ผิวขาวใสสุขภาพดี” พอจุ๊กกู้สะดุ้ง ตัวแทนบริษัทผลิตภัณฑ์ถึงกับเลิ่กลั่ก ต้องแก้ตัวว่าผลิตภัณฑ์ของเราทำให้ผิวสุขภาพดี เอาคำว่าขาวออกไป แต่ไม่ทันแล้ว
ในการแข่งขันรอบหนึ่ง ผู้เข้าแข่งขันต้องเต้นและเล่นละครเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นตัวเอกในมิวสิกวีดิโอเพลง
“ฉันคนเดียวที่รู้” ของวงมัสเกตเทียส์ (Musketeers) หลังจากการประกวดของผู้เข้าแข่งขันทั้งสามทีม
วงมัสเกตเทียส์เลือกจุ๊กกู้เพียงเพราะหน้าของจุ๊กกู้ตรงสเปคของมิวสิกวีดิโอ ทำให้ทีมอื่นๆโมโหกันมาก เมื่อมิวสิกวีดิโอฉบับเต็มออกอากาศ ดิฉันได้ตามไปดูและเห็นว่าการเลือกจุ๊กกู้เพราะหน้าตรงสเปคนั้นอาจสื่อความอะไรได้มากกว่าเรื่องราวของมิวสิกวีดิโอ
สำหรับดิฉันแล้ว มิวสิกวีดิโอนี้แทบจะจัดวางคนผิวเข้มที่อยู่ในกลุ่มเพศหลากหลายในจุดต่ำสุดและน่าสงสารที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มเพศวิถี/สีผิวแบบอื่นๆ
บทความนี้จะชวนคุณดูสองประเด็นนี้แหละค่ะ แต่อาจจะเอียงไปทางประเด็นเพศวิถีเพราะค่อนข้างชัด แต่จะพูดถึงสีผิวบ้าง เพราะมีส่วนในการจัดวางนักแสดงพอสมควร
เอ็มวี ฉันคนเดียวที่รู้ของมัสเกตเทียส์ เล่าเรื่องของตัวเอกหญิง ซึ่งจุ๊กกู้เล่น ภาพแรกเริ่มที่ชุดนักเรียน แล้วกลายเป็นชุดเต้นรูดเสาสไตล์สาวใช้ฝรั่ง (maid) แบบเซ็กซี่ จุ๊กกู้กลัวๆกล้าๆ ได้แต่ยืนมองนักเต้นรูดเสาอีกคน (ติช่า กันติชา ชุมมะ) ที่เต้นได้เซ็กซี่มาก พอออกไปเต้นเองก็เต้นได้เขินๆ ทำท่าทำทางเหมือนไม่อยากเต้น พวกคนดูผู้ชายขี้เมาก็โห่ไล่ จุ๊กกู้กลับไปท้อใจหลังเวที แล้วก็หันไปมองผู้ชายคนหนึ่ง (นู้บ นะเพียร เพียรสมบัติ) ที่ยืนยิ้มให้ จุ๊กกู้ยิ้มแล้วขึ้นไปเต้นเซ็กซี่สุดความสามารถ
ภาพตัดมาที่โรงเรียนมัธยมปลาย จุ๊กกู้ในชุดนักเรียนถือของขวัญกล่องใหญ่เดินไปหานักเรียนหญิงคนหนึ่งที่นั่งบนโต๊ะม้าหิน (แพรว ลิลลดา นาคสุวรรณ) กับเพื่อนนางอีกสองคน (ลิลลี่ อภิชยา ทองคำ กับ จี ณัฏฐ์พิชา พิศาลพงษ์ชนะ)
ทั้งสามสาวเหมือนเป็นสาวป๊อปในโรงเรียนสหศึกษา มีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะเต็มเสื้อ มีดอกกุหลาบเต็มโต๊ะ
จุ๊กกู้เอาของขวัญไปให้ แล้วเดินเขินกลับมา ลิลลี่กับจีคิกคักกัน จุ๊กกู้หันมาหานู้บ บอกนู้บว่าให้ของไปแล้ว ภาพตัด
จุ๊กกู้เอาซองเงินมาโชว์นู้บหน้าสถานบันเทิง นู้บเดินกลับไปกับจุ๊กกู้ ภาพตัดกลับมา จุ๊กกู้เดินจากไป นู้บยืนยิ้มอยู่คนเดียว
ถ้าพูดเรื่องสีผิวและความเป็นไทยเป็นฝรั่ง มิวสิกวีดิโอนี้มีช่วงชั้นของตัวละครจัดตามสีผิวและลักษณะหน้าตา ซึ่งสอดคล้องกับทัศนคติปิดกั้นเรื่องเพศที่ชาวไทยหลายคนมองว่าเป็นขนบธรรมเนียมอันดี ติช่าได้บทสาวเซ็กซี่เก่งกาจ อาจเป็นเพราะเธอดูเป็นฝรั่งที่สุด ทั้งๆที่ติช่าไม่ได้มีเชื้อสายยุโรปเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อคนสังเกตเห็นเธอพูดภาษาอังกฤษบ่อยๆ เธอเลยกลายเป็นสาวมั่น แหวกขนบและเป็นอื่น แต่เป็นความเป็นอื่นที่เป็นที่ต้องการให้อยู่ในที่ลับ
เธอคือคนที่เราแอบอยากเป็น แต่เป็นไม่ได้ นี่คือการนำเสนอ “ฝรั่ง” ตามภาพเหมารวมแบบไทยๆ ซึ่งต้องการจะกดทับเรื่องเพศเอาไว้ และเห็นว่า “ฝรั่ง” ใจกล้ามากกว่า แต่ก็ไม่เป็นไทย
ส่วนจุ๊กกู้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของสเปกตรัม เป็นสาวผิวสีเข้ม หน้าไทย รับบทสาวไทย ไม่กล้าเซ็กซี่ แอบชอบเพื่อนตัวเองอยู่เงียบๆ ไม่มีปากมีเสียง บรรดาตัวละครตรงกลางอย่างแพรว จี ลิลลี่ อาจมองได้ว่าเป็นความสวยแบบพิมพ์นิยม โดยเฉพาะแพรวสาวป๊อป ผิวขาว จมูกโด่ง หน้าคม เหมือนฝรั่ง ตามด้วยลิลลี่ และจีซึ่งเป็นสาวสวยหน้าตาออกไปทางเอเชียตะวันออก ซึ่งก็เป็นที่นิยม
นู้บ ผู้ชายคนเดียวในมิวสิก วีดิโอ เหมือนจะอยู่นอกสเปกตรัม แต่การเลือกนู้บให้เป็นผู้ชายแอบรักผู้หญิงที่มีเพศวิถีต่างจากที่สังคมกำหนดเนี่ย ก็เหมือนจะสอดคล้องกับขนบความงามที่เป็นที่นิยมของชาวไทยช่วงนี้ คือนู้บไม่ได้หน้าตาฝรั่ง ไม่ได้คมเข้มแบบไทยๆ ไม่ได้หน้าตาขาวผ่องแบบเกาหลี นู้บอยู่ตรงกลางของเกณฑ์ความนิยมเหล่านี้ และกลายเป็นตัวแทนของผู้ชายที่แอบชอบผู้หญิงเงียบๆ เพียงเพราะหน้าตาสีผิวของน้องงั้นหรือ
สำหรับเรื่องเพศวิถี เราว่าเอ็มวีมันใช้เพศหลากหลายเพื่อให้เราตื่นเต้นเฉยๆ แล้วแถมขับเน้นความเป็นพระเอกของพระเอกเอ็มวีอีก ตามประสาเพลงแอบชอบ แต่เอ็มวีนี้คือการแอบชอบซ้อน จุ๊กกู้ชอบแพรว นู้บ (นักเรียนชาย) ชอบจุ๊กกู้ การแอบชอบมันขับเน้นความเป็นคนรักที่ดี (โดยเฉพาะในกรณีผู้ชาย) มานานแล้ว ไม่คิดแต่เรื่องเซ็กซ์ (แต่ก็ได้ไปยืนดูเขาเต้นยั่วยวนมาแล้ว) แค่นี้ฟังดูชวนเพลียหรือยัง
ตอนเอ็มวีเฉลยว่าคนที่จุ๊กกู้ชอบเป็นผู้หญิงนี่ทำให้ดิฉันเศร้าหนักเลยแหละ
ถ้ามองแบบเศรษฐกิจ/มาร์กซิสต์ (มั้ง) ไปผสม เราจะเห็นเลยว่าเงินมันเป็นสายธารที่ไหลวนตลอดเรื่อง ทำงานควบคู่ไปกับขนบรักต่างเพศ (heteronormativity) และสังคมชายเป็นใหญ่
คิดดูว่าถ้าจุ๊กกู้เป็นเลสเบียน แล้วต้องฝืนใจหาเงินเพื่อไปซื้อของให้ผู้หญิงที่ตัวเองชอบโดยการเต้นรูดเสาโชว์ผู้ชาย มันไม่หนักไปหน่อยเหรอ
ตัวเอ็มวีทำให้เราเห็นเลยว่าที่มาของเงินเกี่ยวพันกับการรักษาความไม่เท่าเทียมกันในทุนนิยมตามแบบสังคมชายเป็นใหญ่ การทำงานนั้นทำให้เราเป็นอื่นจากตัวเอง (alienation) ทำให้เราต้องคิดแต่เรื่องงาน กดทับความปรารถนาความต้องการของเรา ลบตัวตนของเราด้วยเสื้อผ้าเครื่องแบบ กรณีของจุ๊กกู้นั้นก็ยิ่งชัด จุ๊กกู้ต้องแสดงเป็นสาวเซ็กซี่สนอง
นี้ดผู้ชายในสถานบันเทิง (ซึ่งทั้งตอกย้ำว่าผู้ชายเหล่านี้มีอำนาจเหนือเรือนร่างที่กำหนดให้เป็นหญิง ซึ่งกลายเป็นสินค้าและบริการ) สิ่งที่สำคัญสำหรับดิฉันตรงนี้คือจุ๊กกู้ไม่อยากทำ แต่จุ๊กกู้ต้องการเงิน การจะได้เงินมาคือการฝืนใจเล่นละครตามขนบ ดิฉันไม่เคยรู้สึกว่าเรื่องเพศมีปัญหาอะไร แต่การฝืนใจมีปัญหาเสมอ
การหาเงิน นอกจากจะอิงกับการเป็นสินค้าของผู้หญิงแล้ว ยังเป็นไปเพื่อหล่อเลี้ยงความรัก ตามเทศกาลวาเลนไทน์ ซึ่งเน้นการบริโภคเพื่อสื่อความรัก ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศวิถีอะไร เพศสภาพอะไร คุณก็จะถูกเชื้อเชิญให้ซื้อของ จะได้พบเจอโฆษณาชวนให้ซื้อของเพื่อสื่อสารความรักตามเทศกาลต่างๆ การสื่อสารความรักของจุ๊กกู้ ซึ่งมีเพศสภาพไม่เป็นไปตามที่สังคมกำหนด ต้องเริ่มต้นจากการเล่นละครไปตามบทของสังคมเพื่อแลกกับเงิน ฟังดูเหมือนไกลตัว แต่หลายๆคนก็ต้องแอ๊บ เพื่อหน้าที่การงานใช่ไหมคะ ความทุกข์ใจของจุ๊กกู้ในช่วงแรกของเอ็มวีทำให้เห็นปัญหานี้ชัดเจนมาก
แต่ "ความรัก" ชนะทุกสิ่ง เหรอ เปล่าเลยค่ะ เงินต่างหาก เงินชนะทุกสิ่ง จุ๊กกู้ทำเพราะอยากแสดงความรักต่อแพรว โดยมีเงินเป็นสื่อ แต่อะไรจะยิ่งใหญ่กว่านั้น ความรักของเด็กผู้ชายไงคะ หน้าตาน้องนู้บก็ดีอยู่แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หน้าคมเป็นฝรั่ง ไม่ได้หน้าแบ๊วขาวแบบเกาหลี ไม่ได้พิมพ์นิยม แต่หน้าตาดู "จริงใจ" (น่าจะเป็นสาเหตุเดียวกับที่วงเลือกจุ๊กกู้) สุดท้ายเอ็มวีนี้ก็เป็นเอ็มวีของผู้ชายแอบรักผู้หญิงที่เป็นเลสเบี้ยน
การชอบคนที่เราชอบไม่ได้ทำให้เราเป็นพระเอก ยิ่งใหญ่ และศักดิ์สิทธิ์มาเนิ่นนานตั้งแต่ยุคกลาง unrequited love หรือการรักข้างเดียวเป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมที่พูดถึงขนบอัศวิน/แนวคิดวีรคติ (chivalry คำหลังนี่แปลตามราชบัณฑิต) อัศวินเหล่านี้มักชอบหญิงสูงศักดิ์ที่ไม่ได้รักตอบและมักมีสามีแล้ว กลายเป็นความรักยิ่งใหญ่และไม่บริสุทธิ์เพราะไม่หวังผลตอบแทน และดูเหมือนนู้บจะลอยตัวอยู่เหนือการแลกเปลี่ยนของเงินและความรักครั้งนี้ เพราะนู้บไม่หวังผลตอบแทน พระเอกนี่มันพระเอกจริงๆ
สุดท้ายเรื่องราวของเอ็มวีคือเรื่องของผู้ชายที่แอบชอบผู้หญิงที่เป็นเลสเบี้ยน นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ ฉันพร้อมจะยืนอยู่ข้างเธอ แม้เราจะไม่ได้กัน สุดท้าย เซ็กซ์ก็เป็นแค่เรื่องทางกาย เราควรข้ามผ่านมัน เพราะความรักยิ่งใหญ่กว่า โดยเฉพาะความรักของผู้ชายนี่ยิ่งใหญ่สุดๆเพราะรักผู้หญิงที่ไม่มีวันมีเซ็กซ์กับตัวเอง
เราว่าตรงนี้มันคนละเรื่องนะ การที่เราชอบคนที่ไม่มีวันมีเซ็กซ์กับเรา มันไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีอารมณ์ทางเพศกับเขานะ มันคนละเรื่อง อาจมองได้ว่าความเก็บกดทางเพศของนู้บถูกแสดงออกผ่านสีหน้าแหะๆของนู้บ ประมาณว่า เราดีใจที่เธอมีความสุข ถึงจะขมขื่นเล็กๆที่เธอไม่มีวันมาชอบเรา
เรื่องเพศในเอ็มวีนี้ถูกนำเสนออย่างสุดโต่ง เป็นสถานบันเทิงยามราตรี มีหญิงสาวเต้นยั่วยวน ทั้งๆที่จริงๆ เรื่องเพศมันเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ และควรมีนิยามที่กว้างกว่าการซื้อบริการหรือการใช้บริการสถานบันเทิง
นักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยก็มีอารมณ์ทางเพศได้ เพียงแต่เรื่องมันพยายามจะทำให้เห็นว่าน้องนู้บเนี่ยคลีน หวังดี พร้อมเป็นที่พึ่ง
ไม่อยากจะคิดไปถึงว่า เอ็มวีนี้จะตีความไปถึงแก้ทอม ซ่อมดี้ได้ แต่เอ็มวีนี้ก็แสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ชายที่แอบชอบเลสเบี้ยน และผู้ชายคนนี้ก็ได้ไปดูเลสเบี้ยนทำตัวเซ็กซี่ในสถานบันเทิงมาแล้วอีกต่างหาก มันอดไม่ได้ที่จะคิดว่า แม้ตัวเรื่องจะไม่ได้พูดถึงการซ่อม แต่เนื้อเพลงก็บอกเป็นนัยๆว่า ฉันคนเดียวที่รู้ว่าเธอเป็นคนจริงใจ ทำอะไรเพื่อคนอื่นน้า ถ้าใครไม่เข้าใจก็มาหาเราได้ เหมือนผู้ชายคือที่พึ่งสุดท้ายในเอ็มวีนี้จริงๆ
ดิฉันน่ะ พูดตรงๆ แอบชอบชาวบ้านมาตลอดชีวิต แล้วก็นึกขำตัวเองที่บางทีก็คิดว่าตัวเองช่างเป็นคนดี ช่างเสียสละเหลือแสน คือเราว่าการเสียสละเพื่อคนที่เรารักเป็นสิ่งที่ดี การทุ่มเงินทองอะไรก็แล้วแต่ให้คนที่เรารักมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด (แต่อาจจะน่าเศร้าอย่างที่กล่าวไปแล้ว) เราแค่รู้สึกว่าการแอบชอบมันมาเคลมศีลธรรมอะไรไม่ได้ขนาดนั้นแค่นั้นเอง
Comments