เป็นที่รู้กันว่า ในบรรดานักวิทยาศาสตร์สายวิวัฒนาการนิยมนั้น การพยายามค้นหา “จุดกำเนิด” ของสรรพชีวิตบนโลกมนุษย์ เป็นทั้งจริต ทั้งวัฒนธรรมในการสร้างความรู้แบบตะวันตกที่สถาปนาอำนาจของตนมาหลายศตวรรษ การพยายามค้นหา Gay Gene ของเหล่านักพันธุกรรมศาสตร์ในโลกตะวันตก ก็เป็นหนึ่งในจริตที่ว่านั้น ซึ่งได้ดำเนินการทดลองมาหลายทศวรรษ เพื่อพยายามจะไขโจทย์ให้ได้ว่า Homosexuality นั้นมีกำเนิดมาจากอะไร
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าการวิจัยในเรื่องดังกล่าวจะเข้มข้นขึ้นอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา ภารกิจในการค้นหา dominant gene ที่สร้างเกย์ มักได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ และตั้งคำถามอย่างกว้างขวางเสมอ จนไม่มีงานหรือทฤษฎีว่าด้วย "ยีนเกย์" ใด ได้รับการยอมรับเป็นที่ยุติ
ทั้งนี้ข้อวิพากษ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้มาจากคนนอกวงการเท่านั้น หากแต่ยังมาจากคำถามที่เกิดขึ้นภายในวงการพันธุกรรมศาสตร์ด้วยกันเอง การทึกทักถือเอา 'ยีน' เป็นปัจจัยเดียว ที่กำหนดสิ่งที่แสนจะสลับซับซ้อนอย่าง Sexual orientation/desire ของมนุษย์ นับเป็นการอธิบายของวิทยาศาสตร์ชั้นเลว เป็นการใช้วิธีวิทยาแบบชีววิทยากำหนด (Biological determinism) ในการสร้างสมมติฐานแบบสาเหตุเชิงเดี่ยว (Singular causality) ที่หยาบ ซึ่งแน่นอนที่ว่า ผลการทดลองออกมาทีไร ก็ถูกตีโต้ทุกทีไป
พึงระลึกไว้ด้วยว่า ข้อค้นพบจากการทดลองของนักพันธุกรรมศาสตร์ ทำได้อย่างมากที่สุดคือ การแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ (Correlation) ของตัวแปรไม่กี่ตัว จากห้องทดลองเล็กๆของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตเห็นว่า
กลุ่มเซลส์ในสมอง (INAH 3) มีขนาดที่คล้ายกันในหมู่ผู้ชายที่นักวิทยาศาสตร์นิยามว่าเป็น “homosexual”,
การอ้างว่าพบ Xq28 genetic marker ในโครโมโซม X ที่คล้ายกันของกลุ่มเกย์, ตลอดจนการสร้างสมมติฐานว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างระหว่าง DNA บนโครโมโซม X และคุณสมบัติของโฮโมเซ็กช่วล (Homosexual trait) ที่พบในพี่น้องที่เป็นเกย์ ไปจนถึงข้อสังเกตที่ว่าความเป็นเกย์นั้นสืบสายโลหิตจากฝั่งมารดาเป็นสำคัญ ฯลฯ
ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว ข้อค้นพบเหล่านี้ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า การบอกว่าตัวแปรเหล่านี้ มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งนี้ ดังที่นักวิทยาศาสตร์ก็ทราบกันดี การพบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ เป็นคนละเรื่องกับการบอกว่า ต้นสายปลายเหตุ หรือจุดกำเนิดนั้นเป็นอย่างไร (Correlation does not imply causation.) ดังนั้น หากสังเกตให้ดี ในการนำเสนอผลการทดลองที่ผ่านมาของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ จึงระมัดระวังถ้อยคำอย่างมาก ที่จะระบุอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าว่า "ต้นเหตุของการเป็นเกย์นั้นมาจากยีน" หรือฟันธงว่า "โฮโมเซ็กช่วล เป็นผลมาจากวิวิวัฒนาการของยีน"
คำพูดประเภท “ยีนเป็นสิ่งที่กำหนดความเป็นเกย์” จึงถือเป็นถ้อยความที่ขาดความรับผิดชอบทางวิชาการเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ที่ไหนเขาทำกัน แม้แต่นักพันธุกรรมศาสตร์และนักวิจัยเกี่ยวกับ HIV/AIDs ที่มีชื่อเสียงอย่าง Dean Hamer ที่วิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางชีววิทยาและ sexual orientation มายาวนาน ก็ยังเห็นว่าสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากต่อการทำงานของยีน และยืนยันว่าต่อให้ยีนมีความสำคัญขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอก หรือเป็นจุดกำเนิดของความเป็นเกย์ แต่มีองค์ประกอบต่างๆมากมายทางชีววิทยา ที่เป็นเงื่อนไขร่วมกัน (โปรดดูบทสัมภาษณ์ขนาดสั้นของเขาได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=9zno8e4R6gA)
แต่ข้อวิจารณ์ใหญ่ที่มีต่อทฤษฎียีนกำหนด และเป็นข้อวิพากษ์ต่อแนวพันธุกรรมศาสตร์โดยตรง น่าจะเป็นเรื่องการขาดความเข้าใจต่อสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นเพศวิถี (Sexuality) ของเหล่านักวิทยาศาสตร์สายวิวัฒนาการนิยม คำถามสำคัญคือ ในขณะที่เป็นที่ทราบกันดีว่า เพศวิถีเป็นสิ่งที่มีความเลื่อนไหลอย่างมาก มีประวัติศาสตร์และความสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันกับอำนาจมาโดยตลอด การแบ่งแยกเพศออกเป็นสองประเภท ระหว่าง Heterosexuality และ Homosexuality ของนักวิทยาศาสตร์ เพื่อทำการทดลอง ย่อมมีพื้นฐานที่ไม่สมเหตุสมผล ตั้งแต่เริ่มแรก
หากเชื่อตามฟูโกต์ที่ว่าเพศวิถีนั้น เคยมีประวัติศาสตร์ที่เลื่อนไหล หลากหลาย และเปลี่ยนแปลงได้มาก่อน ไม่ว่าจะในกรีกโบราณ ที่ซึ่งความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายด้วยกัน ที่เรียกว่า pederasty เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ในหมู่ชาวแซมเบียในปาปักนิวกีนี ที่การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายและผู้ใหญ่เพศชายเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นชาย หรือที่อื่นๆทั่วโลก การนิยามสิ่งที่เรียกว่า Homosexuality ด้วยคำจำกัดความเดียว อย่างที่นักวิทยาศาสตร์มักทำกันเพื่อทำการทดลองค้นหา "ยีนเกย์" ย่อมมีปัญหาแต่แรก
ในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตก คริสต์จักร แพทย์สมัยใหม่ ตลอดจนฟรอยด์ และสาวกของฟรอยด์ มีบทบาทสำคัญในการสถาปนา heterosexuality ขึ้นมาเป็นปทัสถานมาตรฐานทั้งในทางการแพทย์และในทางจิตวิเคราะห์ ซึ่งได้เบียดขับและกดบังคับ sexuality ประเภทอื่นไว้ใต้บงการ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่มุ่งค้นหายีนพิเศษของชาวเกย์ จึงย่อมหลีกไม่พ้นคำถามว่าด้วยการเมืองเรื่องเพศ ที่สร้าง Homosexual ในฐานะที่เป็นสปีชีส์ (Species) พิเศษขึ้นมา ที่ถูกกำหนดให้ต่างไปจาก Heterosexual ที่ถูกยกให้เป็น norm "Homosexual gene" จึงกลายเป็นวัตถุแห่งการศึกษาทั้งทางการแพทย์และจิตวิเคราะห์ เพื่อเน้นย้ำและผลิตซ้ำ ความต่างทางเพศ อันเป็นวิธีคิดของโลกตะวันตกสมัยใหม่ และผลของวิธีคิดแบบชีววิทยากำหนดดังกล่าว ก็มีส่วนสำคัญต่อการสร้างประวัติศาสตร์แห่งการทำลายล้างอันโหดร้ายต่อรสนิยมทางเพศที่ไม่เป็นไปตาม “ปทัสสถาน” ดังที่เห็นได้ยุคนาซี ที่ “perverted desires” เป็นสิ่งที่กำหนดให้ต้องได้รับการบำบัดรักษา
สำหรับในยุคปัจจุบัน คำถามที่ควรพิจารณา น่าจะเป็นเรื่องที่ว่า สมมติฐานว่าด้วยยีนเป็นตัวกำหนดความเป็นเกย์นั้น ยังจะคงมีประโยชน์ในการทำความเข้าใจความเป็นเกย์ เลสเบี้ยน และเพศอื่นๆ ในความสัมพันธ์กับอำนาจของ Heterosexuality มากน้อยเพียงใด?
แน่นอนที่ว่า หนึ่งในข้ออ้างของการตอบรับข้อเสนอเรื่อง “Born to be” หรือชีวกายภาพในฐานะปัจจัยที่กำหนดเพศวิถี คือ การเป็นเครื่องมือที่สะดวกต่อการใช้ปกป้องสิทธิของชาวเกย์ ด้วยวลีง่ายๆที่ว่า ก็ในเมื่อพ่อแม่ให้มาแล้ว เขาจะเปลี่ยน sexual orientation ตนเองได้อย่างไร
แต่การอธิบายแบบเอาสะดวกเข้าว่า น่าจะสร้างปัญหาที่สำคัญต่ออัตลักษณ์ของกลุ่มที่ถูกนิยามว่าเป็นเกย์ มากกว่าคุณูปการ ทั้งนี้ เนื่องจากลดทอนอัตลักษณ์และความปรารถนาทางเพศอันหลากหลาย ลงเหลือเพียงโปรแกรมทางชีววิทยาที่กำหนดโดยรหัสของยีนไม่กี่ตัว
นักกิจกรรมชาวเกย์ในโลกตะวันตกจำนวนไม่น้อย ปฏิเสธข้ออ้างทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว บนพื้นฐานของการไม่ยอมที่จะให้ตัวตนและเพศวิถีของตนถูกลดทอนลงเหลือเพียงวัตถุทางการแพทย์และทางชีววิทยา เป็นประเภทของยีนทางชีวกายภาพ ที่ไร้อารมณ์ ความรู้สึก ปราศจากปฏิสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนทางสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม
เพศวิถีเป็นสิ่งที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งแน่นอน เกี่ยวพันกับปัจจัยทางชีวกายภาพหลายประการ ที่ยีน อาจเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกัน การตัดสินใจที่จะเลือกเพศที่ตนเองปรารถนา การสนทนาตอบโต้กับสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมที่คนๆหนึ่งดำรงอยู่ ก็เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเงื่อนไขทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นเพศวิถีชนิดใดก็ตาม ไม่ได้จำเพาะเพียง Homosexuality
ในแง่นี้ หากมีใครสักคน เผอิญมาถามดิฉันว่า ทำอย่างไรดี มีลูกเป็นเกย์ ดิฉันจะตอบเพียงสั้นๆว่า เพศวิถีนั้นเป็นสิ่งที่เลื่อนไหล อย่าหลงติดในกับดับความเป็นเพศตรงข้าม และวิธีคิดแบบกำหนดนิยมมากนักเลย มองโลกให้ไกลๆ กว้างๆบ้างเถิด
สำหรับบทความที่วิจารณ์งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับชีววิทยาและความเป็น Homosexaulity
ที่ดีมากชิ้นหนึ่ง โปรดอ่าน http://www.pbs.org/…/f…/shows/assault/genetics/nyreview.html
ข้อถกเถียงเรื่องนี้ในบทความอื่นๆ โปรดอ่าน
Comments