(Photo Credit : https://hornet.com/stories/revealed-the-polyamous-agenda-and-yes-it-includes-marriage/)
ตอนยังเด็ก ฉันเคยได้ยินคำว่า เลสเบี้ยน ทอมบอย เกย์ กะเทย คำที่คนมักจะเรียกพวกที่รักเพศเดียวกันและคนที่แสดงออกผิดไปจากบรรทัดฐานที่สังคมกำหนด แต่ฉันไม่เคยตระหนักเลยว่ามันมีอะไรมากกว่าคำพวกนี้ เช่นคำว่า
อัตลักษณ์ทางเพศ หรือเพศวิถี จนกระทั่งวันหนึ่งฉันรู้สึกตัวว่า ฉันอาจจะมีความรักกับเพศเดียวกัน
ฉันรู้จักตัวอักษรย่อ LGBTIQ+ ก็เมื่อตอนที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความชอบผู้หญิง แต่ไม่เคยแน่ใจในตัวเองเลยจนกระทั่งก่อนอายุ 20 ก่อนหน้านี้ ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่รักเพศตรงข้ามมาโดยตลอด
แต่ความจริงแล้ว เมื่อคิดย้อนกลับไป ฉันจำได้ว่าฉันเริ่มมีความรู้สึกชอบผู้หญิงด้วยกันตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ฉันจำได้ว่าเคยเดินตามรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งไปที่โรงอาหาร โดยที่ไม่รู้ตัวเองว่าทำไมถึงเดินตามพี่ผู้หญิงคนนั้นไป
ตอนที่อายุได้ 11 ขวบ ฉันตกหลุมรักเพื่อนสนิทของตัวเอง แต่ตอนนั้นยังเป็นความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่า มันเป็นความชอบแบบเพื่อนหรือมากกว่าเพื่อน แน่นอนว่าฉันไม่เคยบอกออกไปว่ารู้สึกกับเธออย่างไร
ความสับสนนี้อยู่กับฉันมายาวนานจนกระทั่งฉันอายุ 20 ปี ในวันหนึ่ง ฉันนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ และเริ่มต้นค้นหาข้อมูลว่าความรู้สึกของฉันที่เป็นแบบนี้คืออะไรกันแน่ ทั้งๆที่ฉันเองก็เดทกับผู้ชายมาโดยตลอด แต่ความรู้สึกที่มีกับผู้หญิงก็ไม่เคยจางหายไป โดยเฉพาะในวัย 18 ปี หลังบอกเลิกกับแฟนผู้ชายคนหนึ่ง ความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้น ฉันเริ่มค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต จนไปพบกับเว็บไซต์หนึ่งที่อธิบายเรื่อง LGBTIQ และนับแต่นั้นมา
ฉันจึงเริ่มนิยามตัวเองว่าเป็นเลสเบี้ยน ฉันคิดว่าตัวเองมีแรงดึงดูดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เมื่อรู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงนั้นคืออะไร ฉันก็ไม่ต้องหนีตัวเองจากความรู้สึกชอบผู้หญิงอีกต่อไป แต่ปัญหามันก็ไม่ได้จบง่ายขนาดนั้น เพราะฉันยังคงรู้สึกมีแรงดึงดูดกับผู้ชายอยู่ดี
ฉันใช้เวลาใคร่ครวญกับตัวเองอีกสักระยะหนึ่ง จึงค้นพบว่า ฉันไม่ได้เป็นเลสเบี้ยนอย่างที่คิด ความรู้สึกนี้น่าจะทำให้นิยามตัวเองได้ว่าเป็นไบเซ็กชวลหรือคนที่รักได้ทั้งสองเพศมากกว่า
แต่แม้จะนิยามตัวเองว่าเป็นไบเซ็กชวล ฉันก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายอีกเลยนับตั้งแต่นั้นมา ฉันเริ่มใช้เวลากับผู้หญิงมากขึ้น และต่อมาก็ได้ใช้ชีวิตกับผู้หญิงอีกคนที่นิยามตัวเองว่าเป็นไบเซ็กชวล ความสัมพันธ์นี้ยืนระยะมาเป็นเวลาหกปี เราไม่เคยมีปัญหาในความสัมพันธ์เลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันก็ได้พบกับ ผู้ชายข้ามเพศ และมีความสัมพันธ์กันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมันได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฉันรู้ตัวว่า ฉันไม่ใช่ไบเซ็กชวล แต่เป็น Pansexual ฉันตระหนักว่าฉันรักและมีความสัมพันธ์ได้กับคนทุกเพศ ไม่จำกัดว่าคนๆนั้นจะมีอวัยวะเพศแบบใด หรือนิยามตัวเองว่าเป็นอะไร
มันเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านและช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคนรัก ณ เวลานั้น
คำว่า Polyamory เข้ามาในชีวิตฉันช่วงเวลาเดียวกันกับการนิยามตัวเองว่าเป็น แพนเซ็กชวล ในขณะที่ฉันกำลังตกหลุมรักกับผู้ชายข้ามเพศ ฉันก็กำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Monogamy แม้ว่าก่อนหน้าที่จะตกลงอยู่ในความสัมพันธ์กัน ฉันเคยบอกเรื่องนี้กับคนรักในขณะนั้นแล้ว ว่าฉันไม่ใช่พวกรักเดียวใจเดียว แต่เมื่อถึงเวลา การยอมรับว่าฉันมีคนอื่นเข้ามาในชีวิต ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเราสองคน แม้ว่าฉันจะบอกเธอไปตามตรงว่าฉันตกหลุมรักผู้ชายข้ามเพศอีกคน แต่เราก็ไม่สามารถจัดการความสัมพันธ์แบบนี้ได้อย่างราบรื่นแบบที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก
ต่อมา เมื่อฉันต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ฉันมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นๆอีก ฉันบอกคนรักของฉันในเวลานั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเธอก็ยอมรับมันได้ เพราะเธอเองก็มีความสัมพันธ์กับคนอื่นเช่นเดียวกัน ฉันเองก็ยินดีกับเธอด้วย เราสองคนตระหนักว่าเรามีชีวิตเป็นของเราเองและมีอิสระที่จะรักใครก็ตามที่เราต้องการ แม้ว่าในภายหลัง เราสองคนตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กันและจากกันด้วยดี เรายังคงเป็นเพื่อนกันและฉันกลับมาอยู่ในความสัมพันธ์แบบ momogamy อีกครั้งกับคนรักที่อยู่ต่างประเทศด้วยกัน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฉันถือว่ามันเป็นการเดินทางและเรียนรู้ เริ่มต้นจากจุดที่ไม่รู้อะไรเลย ไปจนถึงจุดที่ฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันทำหลายสิ่งผิดพลาด แต่ฉันก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตตัวเองเช่นกัน
บางครั้ง ฉันกลับไปย้อนคิดถึงวันที่ฉันทะเลาะกับคนรักเก่าในช่วงวัยรุ่น ในวันที่ฉันจับได้ว่าเธอนอกใจฉันไปรักกับเพื่อนของฉันเอง ฉันเจ็บปวดทรมานอยู่หลายปี ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมมนุษย์เราถึงได้มีความรักกับคนหลายๆคนพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องมีคนรักหลายคน จนกระทั่งฉันมีประสบการณ์แบบเดียวกันนั้น คือตกหลุมรักใครได้หลายคนในเวลาเดียวกัน มีความสัมพันธ์กับใครหลายคนได้ในเวลาเดียวกัน นั่นทำให้ฉันเข้าใจทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกับคนรักและเพื่อนคนนั้น
สำหรับฉันแล้ว การเปลี่ยนแปลงนิยามอัตลักษณ์ทางเพศและวิถีทางเพศของตัวเองไม่ใช่แค่แฟชั่นแบบที่บางคนกล่าวหา แต่มันมีความหมายกับชีวิตของฉันมากกว่านั้น มันคือประสบการณ์ส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเรียกร้องการเปิดกว้างของหัวใจ
มันสำคัญมากที่เราจะไม่ตัดสินคนอื่นๆในเรื่องความรักความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและหลากหลายหรือแตกต่างไปจากบรรทัดฐานที่สังคมทั่วไปเชื่อว่ามันควรจะเป็น เพราะมันเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของมนุษย์แต่ละคน และเราแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้และจัดการความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไป จะรักเพศเดียวกัน เพศตรงข้าม รักได้ทีละคนหรือทีละหลายๆคน ก็ขึ้นอยู่กับการจัดการความสัมพันธ์ และเหนือสิ่งใดคือความซื่อสัตย์ต่อตัวเองและคนในความสัมพันธ์
สำหรับฉันมันคือกระบวนการเรียนรู้และการถอดรื้อตัวเองและฉันคิดว่าฉันรู้สึกยินดีที่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ในวัยและช่วงเวลานี้ เพราะมันทำให้ฉันไม่กลัวการที่จะรับมือกับความสัมพันธ์ในอีกหลากหลายรูปแบบที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตอีกต่อไป
หมายเหตุ: แก้ไขเพิ่มเติมจากบทความ On realizing I am pansexual and polyamorous
コメント