ฉันเป็นผู้หญิงที่เคยทำแท้งคนหนึ่ง
ซึ่งก็เหมือนกับคนอื่น ๆ อีกเป็นล้านคนบนโลกใบนี้ที่มีประสบการณ์เดียวกับฉัน
แต่น่าแปลกที่แม้ข้อเท็จจริงจะบอกว่ามีเพื่อนร่วมประสบการณ์กับฉันมากมาย
เพราะอะไรครั้งนั้นฉันถึงรู้สึกโดดเดี่ยว
ผู้หญิงที่เคยทำแท้ง หรือต้องการที่จะทำแท้งในประเทศอันสวยงามแห่งนี้จำนวนมากไม่กล้าปรึกษาใครแม้แต่คนที่ร่วมทำให้ท้อง เพราะเรารู้ดีว่า เพียงแค่พูดออกไปว่า....เราต้องการทำแท้ง
เราก็จะถูกตีตราตัดสิน จะถูกมองอย่างอคติแน่นอน
บางครั้งเราไม่กล้าแม้แต่จะคิด เพราะเราถูกบอกมาตั้งแต่ยังไม่มีประจำเดือนด้วยซ้ำว่า ความเป็นแม่คือหน้าที่อันสูงส่งของผู้หญิง การได้เป็นแม่คือเกียรติของผู้หญิง และเราไม่มีสิทธิปฏิเสธมัน หรือไม่กล้าแม้แต่จะคิดปฏิเสธ
ครั้งหนึ่งฉันเคยเชื่อเช่นนั้น จนเมื่อความเป็นแม่มาเคาะประตูบ้าน ฉันจึงรู้ว่า
หน้าที่ความเป็นแม่อันยิ่งใหญ่นั้น....ฉันไม่ต้องการ
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความโดดเดี่ยว
ฉันในวัย 21 ปี ที่พยายามอย่างยิ่งให้ตัวเองไม่ท้อง แต่ก็ยังท้องจนได้
“ถ้าไม่อยากท้องก็อย่าไปอ้าขาให้เขาสิ”
เสียงจากสังคมดังขึ้นมากลบเสียงของฉัน
เมื่อท้องและความเป็นแม่มาเคาะประตู ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมาก
ฉันโดดเดี่ยวเมื่อฉันต้องการทำแท้ง
ฉันโดดเดี่ยวเมื่อฉันอยากรู้ว่าจะไปทำแท้งได้ที่ไหน แต่ฉันไม่มีข้อมูลอะไรเลย ยังโชคดีที่เพื่อนคนหนึ่งเคยเล่าให้ฉันฟังว่าเธอเคยไปทำแท้งที่หนึ่งมา ฉันถึงได้มีทางออก
ฉันไปที่คลินิกแห่งนั้นกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่บอกว่าเขายินดีจะช่วย (จนถึงวันนี้ฉันก็ยังไม่ได้ขอบคุณเพื่อนอย่างจริงจังเสียที ถือโอกาสขอบคุณตรงนี้เลยก็แล้วกัน ) แม้เขาจะไม่ได้ช่วยฉันเรื่องเงินทอง แต่ก็ช่วยให้ฉันกล้าพอที่จะไปเยือนคลินิกในตำนานแห่งนั้น กล้าพอที่จะโกหกว่าเป็นแฟนฉัน เพื่อให้ฉันสบายใจว่าจะได้รับบริการ
ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงนิดหน่อย แต่ก็ยังโดดเดี่ยวอยู่ดี แม้ว่าคลินิกจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด มีเพื่อนร่วมประสบการณ์ในคลินิกตั้งหลายคน แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนล้วนรู้สึกแบบเดียวกัน
หลังจากวันนั้นมา ประสบการณ์การทำแท้งของฉันถูกฝังอยู่ใต้ลิ้นตัวเอง อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ ไม่ว่ากับใคร
มีคนบนโลกเพียง 3 คนเท่านั้นนอกจากตัวฉันและหมอที่รู้ ฉันกอดประสบการณ์ผีเด็กไว้ไม่บอกใคร หลอนใจตัวเองคนเดียวอยู่อย่างนั้นเป็นปีๆ ใช่ ฉันเห็นผีเด็ก ฉันเจอผีเด็กอย่างโดดเดี่ยวด้วย ก็ใครมันจะกล้าเล่าเรื่องเจอผีเด็กที่ตัวเองทำแท้งให้ใครอื่นฟังกันเล่า
แต่หลังจากที่ฉันเรียนรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนบนโลกที่ทำแท้งจะต้องเห็นผีเด็กสักหน่อย ฉันก็เลิกเห็นผีเด็กไปเสียอย่างนั้น คุณว่ามันประหลาดไหม? เป็นเวลาหลายปีที่ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเป็นคนเดียวบนโลกที่เคยทำแท้ง รู้สึกอับอายกับประสบการณ์ของตัวเอง แม้เวลาผ่านไปหลายปีมันก็ไม่ได้คลี่คลาย แต่ถูกฝังกลบได้แนบเนียนขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกครั้งที่ฉันได้ยินบทสนทนาเรื่องทำแท้ง แก้กรรม ผีเด็ก แม่ใจยักษ์ หมอเถื่อนรีดเด็ก ฯลฯ ฉันจะทำเป็นเหมือนฉันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ฉันกลัวเหลือเกินว่าความลับจะเปิดเผย จนกระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมประสบการณ์ที่ขุดเอาฉันขึ้นมาจากหลุมได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ
“พี่เคยทำแท้ง”
และพี่เขานั่งอยู่ตรงนั้น เป็นคนที่ดูปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วไป และพูดถึงประสบการณ์ตัวเองได้อย่างไม่เคอะเขิน
“พี่ที่เคยทำแท้ง” นั่งอยู่ตรงนั้นเอง ฉันน้ำตาไหลเมื่อฉันเพิ่งเห็นชัดเจนว่าที่จริงแล้วฉันไม่โดดเดี่ยวเลย
ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีได้เจอเพื่อน แต่ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะโชคดีเหมือนกับฉัน
มีผู้หญิงอีกมากที่กำลังโดดเดี่ยวเหมือนที่ฉันเคยเป็น ฉันเลือกทำงานของฉันต่อไปเพราะฉันรู้ดีว่าความรู้สึกนั้นมันกัดกินชีวิตมากแค่ไหน ฉันไม่ต้องการให้ใครต้องรู้สึกเช่นนั้นอีก มันคือความทรมานที่ไม่ควรต้องเกิดขึ้นเลย.....ถ้าเพียงแต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
เมื่อ “สังคมเรา”เลิกคาดหวังให้ผู้หญิงต้องเป็นแม่และผู้ชายต้องเป็นพ่อ
เมื่อ “โรงเรียน” บอกเราว่าการทำแท้งนั้นทำได้
เมื่อ “ละคร” เลิกตีตราผู้หญิงที่ทำแท้ง
เมื่อ “ศาสนา” เมตตาต่อผู้หญิงที่ทำแท้งจริง ๆ
เมื่อ “โรงพยาบาล”มองเห็นว่านี่คือเรื่องสุขภาพอย่างแท้จริง
วันนี้ กฎหมายทำแท้งของไทยซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 มาถึงจุดที่ได้แก้ไขแล้ว ซึ่งไม่ใช่อยู่ ๆ ฟ้าประทานโอกาสมาให้แก้ แต่เป็นเพราะคุณหมอท่านหนึ่งถูกจับทั้งที่ท่านไม่ได้ทำผิดต่างหาก
หลังจากที่เครือข่ายเราไปยื่นหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญว่า กฎหมายนี้ไม่ยุติธรรมเลย วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัยว่า กฎหมายที่เอาผิดผู้หญิงที่ทำแท้งนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้แก้ไข
ฉันดีใจจนน้ำตาไหลเมื่อเห็นข่าวนี้
แต่ก็ดีใจได้ไม่นาน เมื่อพบว่า นี่ไม่ใช่เส้นชัย แต่เป็นแค่จุดเริ่มต้น และการต่อสู้ของเราเพิ่งจะอยู่ในช่วงวอร์มอัพเท่านั้น
หลังรู้ว่ากฎหมายจะต้องแก้ไข เราก็พยายามส่งเสียงให้ดังที่สุดเท่าที่เรามีไปให้ถึงผู้มีอำนาจที่ถือปากกาอยู่ ทั้งเสนอหน้าไปในที่ประชุม จัดทำข้อเสนอ รวบรวมรายชื่อผู้ที่เห็นด้วยกับเราให้เลิกเอาผิดผู้หญิงที่ทำแท้ง
แต่คุณทราบใช่ไหม การปลุกที่ไม่มีวันสำเร็จคือการปลุกคนที่กำลังแกล้งหลับนั่นเอง ฉันใดก็ฉันนั้น
ตะโกนให้ดังเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเข้าหูคนที่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
จุดยืนที่เรายืนยันคือให้ยกเลิกความผิดโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใด ๆ
ผู้หญิงที่ทำแท้งต้องไม่มีความผิด เช่นเดียวกันกับหมอที่ทำแท้งให้ผู้หญิงก็ต้องไม่มีความผิดตั้งแต่แรก
กฎหมายเดิมที่เอาผิดผู้หญิงที่ทำแท้ง โดยใช้วิธีบอกว่า “เธอผิดนะ แต่เธอจะไม่ผิดเมื่อ...(ม.305 ข้อยกเว้น)”
ตอนนี้มีร่างแก้ไขใหม่ออกมาแล้ว แต่ก็ยังคงเอาผิดผู้หญิงที่ทำแท้งอยู่ เพียงแค่ขยายช่องว่างให้กว้างขึ้นเท่านั้น แปลว่า เขาไม่ได้สนใจที่จะฟังเราเลยสักนิดเดียว
เราจะมีเกียรติได้อย่างไรหากกฎหมายตั้งต้นว่าเราผิดแล้วค่อยมายกเว้นให้เราไม่ผิดทีหลัง
ความรู้สึกของประชาชนธรรมดาๆอย่างฉันถึงได้โดดเดี่ยวเหลือเกินยังไงเล่า เพราะฉันรู้สึกเสมอว่าฉันลับ ๆ ล่อ ๆกระทำความผิดอยู่ ก็เพราะกฎหมายมาตรานี้ และสังคมที่ต้องทำตามกฎหมายนี้ยังไงเล่า
ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เคยทุกข์ทรมานจากสังคมภายใต้กฎหมายนี้มานานหลายปี และฉันไม่ต้องการให้ใครต้องรู้สึกเช่นเดียวกับฉันอีก
หรือมันอาจจะเป็นเหตุผลทางเทคนิคของการเขียนกฎหมาย ที่ก็ยังใช้วิธีเขียนแบบเดิม ? แต่อย่าลืมว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายก็คือ ประชาชนคนธรรมดา ไม่ใช่นักกฎหมาย คนที่เขียนกฎหมาย ไม่ได้ใช้หัวใจอ่านกฎหมายที่เขียนหรืออย่างไร เพราะอะไรเมื่อใช้หัวใจอ่านแล้วมันยังไร้เกียรติเหมือนเดิม ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังกล้าอ้างอีกว่ามีประชาชนมาร่วมทำประชาพิจารณ์ตั้ง 6 คน
เราต้องการแค่ยกเลิกความผิดของผู้หญิงที่ทำแท้ง
โปรดฟังอีกครั้ง...ไม่ต้องให้ผู้หญิงมีความผิด เพราะเธอมีสิทธิ์เลือกกำหนดทางชีวิตของเธอเอง
ตราบใดที่บริการทำแท้งมีปลอดภัยและยังอยู่ในขอบเขต ที่ไม่ใช่การคลอดก่อนกำหนด ต้องทำได้ โดยไม่มีความผิด นอกนั้นนักกฎหมายจะเขียนให้ผิดในกรณีไหนบ้างก็ตามใจท่าน มันคงไม่ยากเกินกว่าไปหรอก หากคนที่เป็นนักกฎหมายจะใช้หัวใจในการเขียน ไม่ใช่ใช้อำนาจ
เปิดใจเข้าใจประชาชนจริง ๆ
เปิดใจฟังเสียงของผู้หญิงอย่างเราจริง ๆ
อย่าให้ผู้หญิงคนไหนต้องตกอยู่ในความโดดเดี่ยว แบบที่ฉันเคยผ่านมันมาแล้วอีกเลย ให้มันจบที่รุ่นของฉันเถอะ
เพราะทุกเสียงของทุกคนมีความหมาย
หากคุณเห็นด้วยกับการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 301 โปรดร่วมลงชื่อสนับสนุนการยกเลิกมาตรานี้ได้ ที่นี่
เพื่อส่งเสียงให้ดังไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องยกเลิกกฎหมายมาตรานี้!
*ขอบคุณเรื่องเล่าจาก "นิศา"
Comments